ผักกาดหอม 
	ผักกาดหอม ชื่อสามัญ Lettuce 
	  
	ผักกาดหอม ชื่อวิทยาศาสตร์ Lactuca sativa L. จัดอยู่ในจัดอยู่ในวงศ์ทานตะวัน (ASTERACEAE หรือ COMPOSITAE) 
	  
	สมุนไพรผักกาดหอม มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ผักกาดยี (ภาคเหนือ), สลัด สลัดผัก ผักสลัด (ภาคกลาง), ผักกาดปี, พังฉาย พังฉ่าย พังฉ้าย (จีน) เป็นต้น โดยเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปเอเชียและทวีปยุโรป สำหรับในประเทศไทยมีการปลูกผักกาดหอมมาช้านานแล้ว[1],[5] 
	  
	ลักษณะของผักกาดหอม 
	-ต้นผักกาดหอม ลักษณะของลำต้นในระยะแรกมักจะมองไม่เห็น เพราะใบมักปกคลุมไว้ แต่จะเห็นได้ชัดเมื่อถึงระยะแทงช่อดอก ลำต้นมีลักษณะเป็นข้อสั้น โดยแต่ละข้อจะเป็นที่เกิดของใบ ลักษณะของลำต้นจะค่อนข้างอวบอ้วนและตั้งตรงสูงชะลูดขึ้นจนสามารถมองเห็นได้ชัดเจน หากปลูกในพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์มาก ๆ ลำต้นอาจมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางได้ถึง 2 นิ้ว[1] 
	-รากผักกาดหอม มีรากเป็นระบบรากแก้วที่แข็งแรงและอวบอ้วน รากแก้วสามารถหยั่งลึกลงดินได้ถึง 5 ฟุต หรือมากกว่านั้น แต่การย้ายไปปลูกจะทำให้รากแก้วเสียหายได้ (แต่การย้ายปลูกจะมีผลดีช่วยทำให้ผักกาดหอมประเภทหัว ห่อหัวได้ดีขึ้น) และรากที่เหลือจะเป็นรากแขนง แผ่กระจายอยู่ใต้ผิวดินประมาณ 1-2 ฟุต โดยรากจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มอย่างหนาแน่น ไม่ค่อยแพร่กระจายมากนัก โดยเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็วเมื่อปลูกในดินร่วนปนทรายที่มีความชื้นเพียงพอ[1] 
	-ใบผักกาดหอม ใบมีสีตั้งแต่เขียวอ่อน สีเขียวปนเปลือง ไปจนถึงสีเขียวแก่ แต่สำหรับบางสายพันธุ์จะมีสีแดงหรือมีสีน้ำตาลปนอยู่ ทำให้มีสีแดง สีบรอนซ์ หรือสีน้ำตาลปนเขียว ใบจะแตกออกมาจากลำต้นโดยรอบ โดยพันธุ์ที่ห่อเป็นหัวจะมีใบหนา และมีเนื้อใบอ่อนนุ่ม ใบห่อหัวอัดกันแน่นคล้ายกับกะหล่ำปลี ส่วนใบที่ห่ออยู่ข้างในจะเป็นมัน ส่วนบางชนิดจะเป็นใบม้วนงอเปราะ เห็นเส้นใบได้ชัดเจน ขอบใบมีลักษณะเป็นหยัก โดยขนาดและรูปร่างของใบนั้นจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ชนิด[1] 
	-ดอกผักกาดหอม ออกดอกเป็นช่อดอกรวม ประกอบไปด้วยกลุ่มของดอกที่อยู่กันเป็นกระจุกตรงส่วนยอด ในแต่ละกระจุกจะประกอบไปด้วยดอกย่อยประมาณ 15-25 ดอกหรือมากกว่านั้น ก้านช่อดอกจะมีความยาวประมาณ 2 ฟุต ส่วนช่อดอกอันแรกจะเกิดบริเวณยอดอ่อน หลังจากนั้นจะเกิดบริเวณมุมใบ โดยช่อดอกที่เกิดบริเวณยอดจะมีอายุมากที่สุด ดอกผักกาดหอมเป็นดอกสมบูรณ์เพศ กลีบดอกมีสีเหลือง ตรงโคนเชื่อมติดกัน มีรังไข่ 1 ห้อง เกสรตัวเมีย 1 ก้าน มีลักษณะเป็น 2 แฉก ส่วนเกสรตัวผู้จะมี 5 ก้าน อยู่รวมกันเป็นยอดยาวห่อหุ้มก้านเกสรตัวเมียและยอดเกสรตัวเมียไว้[1] 
	-เมล็ดผักกากหอม หรือ เมล็ดผักสลัด เมล็ดเป็นชนิดเมล็ดเดียวที่เจริญมาจากรังไข่อันเดียว เมล็ดมีลักษณะแบนยาว หัวท้ายแหลมคล้ายรูปหอก และมีเส้นเล็ก ๆ ลาดยาวไปตามด้านยาวของเมล็ดบนเปลือกหุ้มเมล็ด เมล็ดมีเปลือกหุ้มเมล็ด บาง เปลือกจะไม่แตกเมื่อเมล็ดแห้ง เมล็ดมีสีเทาปนสีครีม มีความยาวประมาณ 4 มิลลิเมตรและกว้างประมาณ 1 มิลลิเมตร[1] 
	  
	สายพันธุ์ผักกาดหอม 
	ในปัจจุบันมีการปลูกผักกาดหอมเพื่อใช้ในการบริโภคอยู่ 3 ชนิดใหญ่ ๆ ซึ่งได้แก่ 
	ผักกาดหอมใบ (Leaf lettuce) ในประเทศไทย ผักกาดหอมใบจะเป็นที่นิยมปลูกและบริโภคกันมากกว่าผักกาดหอมชนิดอื่น ๆ โดยเป็นผักกาดที่ใบไม่ห่อเป็นหัว ใบมีขนาดกว้างใหญ่และหยิก ลักษณะลำต้นเป็นพุ่มเตี้ย โดยผักกาดหอมใบจะแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ ชนิดที่มีสีเขียวทั้งต้นและชนิดที่มีสีน้ำตาลทั้งต้น[1] 
	  
	ผักกาดหอมห่อ (Head lettuce) เป็นผักกาดหอมที่ใบจะห่อเป็นหัว เพราะมีใบเรียงซ้อนกันแน่นมาก โดยผักกาดหอมห่อจะแบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ[1] 
	-ชนิดห่อหัวแน่น (Crisp head) ลักษณะของใบจะบาง กรอบ และเปราะง่าย สามารถเห็นเส้นกลางใบได้ชัดเจน ใบจะห่อเป็นหัวแน่นคล้ายกับหัวกะหล่ำปลี และเป็นชนิดที่นิยมปลูกกันมากในทางการค้าเพราะขนส่งได้สะดวก[1] 
	-ชนิดห่อหัวไม่แน่น (Butter head) ลักษณะของใบจะห่อเป็นหัวแบบหลวม ๆ ใบอ่อนนุ่ม ผิวใบมัน ใบไม่กรอบ โดยใบที่ซ้อนกันอยู่ข้างในจะมีลักษณะเหมือนถูกเคลือบไว้ด้วยเนยหรือน้ำมัน เพราะมีลักษณะอ่อนนุ่มและเป็นเมือกลื่น ๆ และใบข้างในจะซ้อนทับกันพอประมาณ มีสีเหลืองอ่อน ๆ คล้ายกับเนย[1] 
	-ชนิดห่อหัวหลวมค่อนข้างยาว ลักษณะของใบจะห่อเป็นรูปกลมยาวหรือเป็นรูปกรวย คล้ายกันผักกาดขาวปลี ใบจะมีลักษณะยาวและแคบ ใบแข็ง ชนิดนี้จะนิยมปลูกกันมากในทวีปยุโรป และยังแบ่งแยกย่อยออกเป็น 2 ชนิด คือ พันธุ์ที่มีหัวขนาดใหญ่ และพันธุ์ที่หัวขนาดเล็ก[1] 
	  
	ผักกาดหอมต้น (Stem lettuce) ลักษณะของลำต้นจะอวบ มีลำต้นสูง ใบจะเกิดขึ้นต่อกันไปจนถึงยอดหรือช่อดอก ลักษณะของใบคล้ายกับผักกาดหอมใบ แต่ใบจะเล็กกว่า มีความหนาและมีสีเข้มกว่า โดยมีทั้งชนิดกลมและยาว ไม่ห่อหัว โดยผักกาดหอมต้นนี้จะปลูกไว้เพื่อรับประทานต้นเท่านั้น[1] 
	  
	สรรพคุณของผักกาดหอม 
	1.ผักกาดหอมมีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด จึงช่วยในการป้องกันและต่อต้านมะเร็งได้ (ใบ)[2] 
	2.น้ำคั้นจากทั้งต้นนำมาใช้ปรุงเป็นยาบำรุงร่างกายได้ (ทั้งต้น)[4 
	3.ช่วยในการนอนหลับ ทำให้จิตใจสงบและผ่อนคลาย แก้อารมณ์เสียง่าย โดย ดร.ดันแคน (แพทย์ยุคกลางชาวอังกฤษ) ระบุว่าในใบหรือก้านของผักกาดหอมจะมีสารรสขมที่มีชื่อว่า "แลกทูคาเรียม" (Lactucarium) ซึ่งสารนี้มีคุณสมบัติทำให้เกิดอาการง่วงนอน ทำให้จิตใจสงบและผ่อนคลาย การรับประทานผักกาดหอมแบบสด ๆ ก่อนนอนหรือรับประทานเป็นอาหารมื้อเย็น จึงช่วยทำให้เรานอนหลับได้สบายยิ่งขึ้นนั่นเอง[2],[5 
	4.ผักกาดหอมมีน้ำเป็นองค์ประกอบโดยส่วนมาก จึงเป็นผักที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน[3] 
	5.ผักกาดหอมอุดมไปด้วยธาตุเหล็กที่ช่วยเสริมการสร้างเม็ดเลือดหรือฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) จึงเหมาะอย่างมากสำหรับผู้ที่เป็นโรคโลหิตจาง และยังช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย หรือมีสมาธิสั้น การเรียนรู้ลดลง[3] 
	6.น้ำคั้นจากใบช่วยแก้ไข้ได้ (ใบ)[2],[5] 
	7.น้ำคั้นจากใบใช้เป็นยาแก้ไอได้เป็นอย่างดี (ใบ)[2],[5] 
	8.เมล็ดผักกาดหอมตากแห้งประมาณ 5 กรัมนำมาชงกับน้ำร้อน 1 ถ้วยกาแฟ ใช้ดื่มก่อนอาหารเช้าและเย็น ถ้าหากใช้ต้นให้ใช้เพียงครึ่งต้นรับประทานเพื่อช่วยขับเสมหะและแก้อาการไอ และไม่ควรใช้มากเกินไป (เมล็ด, ต้น)[5] 
	9.น้ำคั้นจากใบมีสรรพคุณเป็นยาขับเหงื่อ (น้ำคั้นจากใบ)[2],[5] 
	10.ช่วยแก้อาการกระหายน้ำ (น้ำคั้นจากทั้งต้น)[4] 
	11.การรับประทานผักกาดหอมจะช่วยในการขับถ่าย ช่วยป้องกันและบรรเทาอาการท้องผูกได้ (ทั้งต้น)[4] 
	12.น้ำคั้นจากทั้งต้นใช้เป็นยาระบายได้ (ทั้งต้น)[4] 
	13.ช่วยขับลมในลำไส้ (น้ำคั้นจากทั้งต้น)[4] 
	14.ช่วยขับพยาธิ (น้ำคั้นจากทั้งต้น)[4] 
	15.ช่วยขับปัสสาวะ (น้ำคั้นจากใบ, เมล็ด)[2],[5] 
	16.ช่วยรักษาโรคริดสีดวงทวาร (เมล็ด)[5] 
	17.เมล็ดผักกาดหอมใช้รักษาโรคตับ (เมล็ด)[5] 
	18.น้ำคั้นจากทั้งต้นใช้ทาฝีมะม่วงที่รีดเอาหนองออกแล้วได้ (ทั้งต้น)[4] 
	19.ช่วยระงับอาการปวด (เมล็ด)[5] 
	20.ช่วยแก้อาการปวดเอว (เมล็ด)[5] 
	21.เมล็ดผักกาดหอมช่วยขับน้ำนมของสตรีหลังคลอดบุตร (เมล็ด)[2],[5] 
	  
	ประโยชน์ของผักกาดหอม 
	1.ผักกาดหอมเป็นผักที่มีแคลอรีต่ำ จึงเหมาะอย่างมากสำหรับผู้ที่ต้องลดน้ำหนักหรือควบคุมน้ำหนัก[6] 
	2.การรับประทานผักกาดหอมร่วมกับแคร์รอตและผักโขมจะช่วยบำรุงสีของเส้นผมให้สวยงามได้[6] 
	3.ผักกาดหอมเป็นผักที่นิยมบริโภคใบ เพราะมีคุณค่าทางอาหารสูง เป็นผักที่นิยมบริโภคมากที่สุดในบรรดาผักสลัด และยังนิยมนำมารับประทานสด ๆ หรือนำมาประกอบอาหารได้อย่างหลากหลาย สำหรับคนไทยแล้วจะนิยมใช้รับประทานกับอาหารจำพวกยำต่าง ๆ เช่น ข้าวเกรียบปากหม้อ สาคูไส้หมู เป็นต้น[1] 
	4.นอกจากจะมีคุณค่าทางอาหารที่ดีแล้ว ยังนิยมนำมาใช้ตกแต่งอาหารเพื่อให้มีสีสันสวยงามน่ารับประทานยิ่งขึ้น[1] 
	5.ปัจจุบันมีการใช้ยาง (Latex) ที่สกัดจากผักกาดหอมออกมาจำหน่ายในรูปแบบยา มีทั้งชนิดน้ำและแบบชนิดเม็ด[5] 
	  
	คุณค่าทางโภชนาการของผักกาดหอม (ชนิดใบสีเขียว) ต่อ 100 กรัม 
	-พลังงาน 15 กิโลแคลอรี 
	-คาร์โบไฮเดรต 2.87 กรัม 
	-น้ำ 94.98 กรัม 
	-น้ำตาล 0.78 กรัม 
	-เส้นใย 1.3 กรัม 
	-ไขมัน 0.15 กรัม 
	-โปรตีน 1.36 กรัม 
	-วิตามินเอ 7,405 หน่วยสากล 
	-วิตามินบี 1 0.07 มิลลิกรัม 
	-วิตามินบี 2 0.08 มิลลิกรัม 
	-วิตามินบี 3 0.375 มิลลิกรัม 
	-วิตามินบี 6 0.09 มิลลิกรัม 
	-วิตามินบี 9 38 ไมโครกรัม 
	-วิตามินซี 9.2 มิลลิกรัม 
	-วิตามินอี 0.22 มิลลิกรัม 
	-วิตามินเค 126.3 ไมโครกรัม 
	-ธาตุแคลเซียม 36 มิลลิกรัม 
	-ธาตุเหล็ก 0.86 มิลลิกรัม 
	-ธาตุแมกนีเซียม 13 มิลลิกรัม 
	-ธาตุฟอสฟอรัส 29 มิลลิกรัม 
	-โพแทสเซียม 194 มิลลิกรัม 
	-ธาตุโซเดียม 28 มิลลิกรัม 
	-ธาตุสังกะสี 0.18 มิลลิกรัม 
	% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database) 
	  
	คุณค่าทางโภชนาการของผักกาดหอม (ชนิดใบสีแดง) ต่อ 100 กรัม 
	-พลังงาน 16 กิโลแคลอรี 
	-คาร์โบไฮเดรต 2.26 กรัม 
	-น้ำ 95.64 กรัม 
	-น้ำตาล 0.48 กรัม 
	-เส้นใย 0.9 กรัม 
	-ไขมัน 0.22 กรัม 
	-โปรตีน 1.33 กรัม 
	-วิตามินเอ 7,492 หน่วยสากล 
	-วิตามินบี 1 0.064 มิลลิกรัม 
	-วิตามินบี 2 0.077 มิลลิกรัม 
	-วิตามินบี 5 0.321 มิลลิกรัม 
	-วิตามินบี 6 0.1 มิลลิกรัม 
	-วิตามินซี 3.7 มิลลิกรัม 
	-วิตามินอี 0.15 มิลลิกรัม 
	-วิตามินเค 140.3 ไมโครกรัม 
	-ธาตุแคลเซียม 33 มิลลิกรัม 
	-ธาตุเหล็ก 1.2 มิลลิกรัม 
	-ธาตุแมกนีเซียม 12 มิลลิกรัม 
	-ธาตุฟอสฟอรัส 28 มิลลิกรัม 
	-ธาตุโพแทสเซียม 187 มิลลิกรัม 
	-ธาตุโซเดียม 25 มิลลิกรัม 
	-ธาตุสังกะสี 0.2 มิลลิกรัม 
	% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database) 
	  
	คุณค่าทางโภชนาการของผักกาดหอม (ชนิดห่อหัวไม่แน่น) ต่อ 100 กรัม 
	-พลังงาน 13 กิโลแคลอรี 
	-คาร์โบไฮเดรต 2.23 กรัม 
	-น้ำ 95.63 กรัม 
	-น้ำตาล 0.94 กรัม 
	-เส้นใย 1.1 กรัม 
	-ไขมัน 0.22 กรัม 
	-โปรตีน 1.35 กรัม 
	-วิตามินเอ 3,312 หน่วยสากล 21% 
	-เบตาแคโรทีน 1,987 ไมโครกรัม 18% 
	-ลูทีนและซีแซนทีน 1,223 ไมโครกรัม 
	-วิตามินบี 1 0.057 มิลลิกรัม 5% 
	-วิตามินบี 2 0.062 มิลลิกรัม 5% 
	-วิตามินบี 5 0.15 มิลลิกรัม 3% 
	-วิตามินบี 6 0.082 มิลลิกรัม 6% 
	-วิตามินบี 9 73 ไมโครกรัม 18% 
	-วิตามินซี 3.7 มิลลิกรัม 4% 
	-วิตามินอี 0.18 มิลลิกรัม 1% 
	-วิตามินเค 102.3 ไมโครกรัม 97% 
	-ธาตุแคลเซียม 35 มิลลิกรัม 4% 
	-ธาตุเหล็ก 1.24 มิลลิกรัม 10% 
	-ธาตุแมกนีเซียม 13 มิลลิกรัม 4% 
	-ธาตุแมงกานีส 0.179 มิลลิกรัม 9% 
	-ธาตุฟอสฟอรัส 33 มิลลิกรัม 5% 
	-โพแทสเซียม 238 มิลลิกรัม 5% 
	-ธาตุโซเดียม 5 มิลลิกรัม 0% 
	-ธาตุสังกะสี 0.2 มิลลิกรัม 2% 
	% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database) 
	  
	เอกสารอ้างอิง 
	1.กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.doae.go.th.  [30 ต.ค. 2013]. 
	2.สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.thaihealth.or.th.  [30 ต.ค. 2013]. 
	4.พจนานุกรมโรคและสมุนไพรไทย.  (วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). 
	5.บทความวิทยุรายการสาระความรู้ทางการเกษตร (วันจันทร์ที่ 16 มิถุนายน 2546).  ฝ่ายวิจัยและบริการวิชาการ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่.  "พืชผักผลไม้ไทยมีคุณค่าเป็นทั้งอาหารและยา ตอนผักกาดหอม".  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: natres.psu.ac.th.  [30 ต.ค. 2013]. 
	6.สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ.  "ผัดกาดหอมอุดมไปด้วยวิตามินบีรักษาฝีมะม่วงได้".  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.hiso.or.th.  [27 ต.ค. 2013]. 
	  
	เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai) 
	  
 |